วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ฝนเทียมในหลวงป้องกันภัยพายุไซโคลนนาร์กีสให้แก่ไทย

ขออนุญาตนำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเล่าสู่กันฟัง

เมื่อวันศุกร์ผมได้มีโอกาสได้เข้าค่ายที่ศูนย์ฝึกทหารค่ายนเรศวร วันแรกที่เข้าไป บรรยากาศครึ้ม ๆ ผมก็ว่า เอ ... แปลก ๆ นะ ทำไมอากาศอบอ้าวเหมือนจะมีฝน แต่ก็คิดว่าคงเป็นไปตามสภาพอากาศ พอไปถึงก็ทำกิจกรรมจนได้เข้าหอประชุมตอนดึกใกล้เวลานอนมากแล้ว

อาจารย์เอกราช ท่านได้มาพูดถึงเรื่องของฝนที่ตกนี้ว่า “ก่อนหน้านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านทรงให้คณะทำงานเกี่ยวกับฝนเทียม รีบทำฝนเทียม เพื่อเป็นแนวกันลมพายุดีเปรสชั่น ซึ่งตอนนั้นยังไม่เกิดขึ้น แต่พระองค์ทรงเหมือนกับเทวดาองค์นึงที่ทราบเรื่องนี้ก่อน”

ถามว่าตอนนั้นกรมอุตุฯ รู้เรื่องนี้มั้ย ... ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดพายุที่ประเทศพม่าด้วยซ้ำ พอคณะทำงานด้านฝนเทียมทำงานเสร็จ ด้วยความสำเร็จ ... ผลงานที่พระองค์ได้ทำ ก็ก่อให้เกิดผล

เมื่อเกิดพายุอย่างที่พระองค์ตรัสไว้ที่พม่า และพายุนี้ก็ได้สร้างความเสียหาย และสร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศพม่า จนทำให้เกิดความสูญเสียอันมหาศาลกับประเทศ ...

แต่สำหรับประเทศไทย แนวกำแพงฝนเทียมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงสร้างไว้ก็ทำให้เกิดฝนตกเพียงเล็กน้อย ถ้าเทียบกับพายุที่จริง ๆ แล้วสามารถสร้างความเดือดร้อนกับประเทศได้มาก พอผมได้ทราบผมถึงกับอึ้ง ขนลูกซู่ กับสิ่งที่พระองค์ได้ทำไว้ให้กับประเทศของเรา

ถึงแม้นจะเป็นเรื่องที่ดีที่ทราบเรื่องนี้ แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้ผมสะเทือนใจกับสิ่งที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้

วันที่สองที่เข้าค่าย ครูฝึกได้เปิดวีซีดีเกี่ยวกับพระองค์ให้ดู ผมก็ดูไปเรื่อย ๆ จนถึงตอนนึงที่เค้าตัดเอาตอนที่พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินเพื่อไปส่งเหล่ากษัตริย์จากต่างประเทศ คณะทูตที่มาเข้าเฝ้าในงานฉลองศิริราชสมบัติครบ 60 พรรษา

ภาพที่ทำให้ผมปวดจี๊ดขึ้นมาในหัวใจก็คือ ตอนที่พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินลงบันได (ขอโทษครับพอดีไม่ทราบว่าเขียนยังไง) พระองค์เกือบหกล้ม ดีที่ทหารรักษาพระองค์ที่เดินนำหน้าคอยประคองพระองค์ไว้ พอพระองค์ทรงยืนได้ ก็ปัดมืออก

ผมไม่ทราบว่าพระองค์ตรัสตรงนั้นทันทีมั้ย หรือตรัสกับคนสนิทในภายหลัง ว่า

“ไม่ต้องมาพยุงเรา เราจะเดินให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า เราสามารถปกครองคน 64 ล้านคนด้วยตัวของเราเองได้”

ถึงตอนนี้แล้ว ... น้ำตาผมคลอเบ้า คนที่ดูกันก็สะอึ้นกันไปหลายคน ทุก ๆ คนในที่นั้นเงียบหมดกับคำพูดที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ผมได้ยินเสียงกระซิบจากเพื่อนข้าง ๆ ว่า สงสารพระองค์ที่ต้องมาทรงงานอย่างหนัก ถึงแม้นจะอายุเยอะแล้ว แต่พระองค์ก็ยังทรงรักและเป็นห่วงลูก ๆ หลานของพระองค์ ลูก ๆ หลาน ๆ ที่อยู่ในประเทศนี้ ท่านทรงงานทุกอย่างเพื่อให้คนในประเทศได้สบาย เพื่อคนในประเทศได้อยู่ดีกินดี

อาจารย์ได้บอกกับพวกเราเมื่อวีซีดีจบว่า พระองค์เหมือนฝนที่ทำให้ประเทศร่มเย็น เหมือนเทวดาที่ไม่ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินไปที่ไหนที่นั่นจะชุ่มฉ่ำ ที่ ๆ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปจะพบแต่ความสงบสุข มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร

ท้ายสุดนี้ผมอยากจะบอกพระองค์หากแม้นมีใครผ่านมาอ่าน ถึงจะเป็นคำพูดที่อาจจะได้ยินมาบ่อย ๆ แต่ผมก็ไม่สามารถจะคัดกรองคำพูดใด ๆ มาพูดได้อีกนอกจาก

“ขอพระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงประชา เป็นร่มโพธิทองของเหล่าปวงชนชาวไทย ขอพระองค์ทรงพระเจริญตราบนานเท่านาน”